ไม่เหนือกรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “เด็กเบื่อโลก”
กราบนมัสการหลวงพ่อผู้มีพระคุณเหมือนพ่อแม่ ลูกไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร เพราะมีตัวคนเดียว ญาติพี่น้องไม่มี ลูกสาวอายุ ๑๖ ปี พ่อเสียแล้วค่ะ เขาสนิทกับพ่อเขามาก เขาเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนอยากเป็นหมอ เขาเริ่มเบื่อคน บอกว่าเรียนไปก็จบทำงานแก่งแย่งกัน ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง อยากลาออกจากโรงเรียนไปศึกษาธรรมะ ไม่อยากกลับไปเรียน
ลูกต้องทำงาน บางทีไม่มีเวลาให้เขา เขาบอกว่าวางแผนอ่านหนังสือก็ไม่ค่อยทัน เวลาปีกว่าก่อนสอบเข้าเหมือนไม่พอ
ลูกกราบขอหลวงพ่อสอนเพื่อให้ลูกสาวด้วยเถอะค่ะ เพราะเขาเคารพและเชื่อฟังหลวงพ่อแบบไม่มีข้อสงสัย กราบขอบพระคุณหลวงพ่ออย่างสูง
ตอบ : ไอ้นี่มันพูดถึงปัญหาในครอบครัวเนาะ ถ้าพูดถึงปัญหาในครอบครัว มีลูกสาวอยู่คนเดียว พ่อเขาเพิ่งเสียไป ถ้าพ่อเขาเสียไปแล้ว เขาเชื่อฟัง เขารักพ่อเขามาก เขาสนิทกับพ่อเขามาก เวลาเขาอยู่ อยู่กับแม่ ถ้าอยู่กับแม่ขึ้นมา นี่ด้วยความผูกพัน เวลาเขาพลัดพรากจากสิ่งที่เขารัก สิ่งที่เขาเหลือแล้วมันไม่เหมือนกับที่ใจเขาปรารถนา ทีนี้ไม่เหมือนที่ใจปรารถนา มันก็เป็นความจริงนั่นน่ะ มันเป็นข้อเท็จจริง ถ้าข้อเท็จจริง เห็นไหม เพราะเราเกิดมามีพ่อมีแม่ ถ้ามันขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ลูกเลี้ยงเดี่ยว
ลูกเลี้ยงเดี่ยว แต่ลูกเลี้ยงเดี่ยวแล้ว เราก็ดูแลรักษาของเราไป ถ้าการดูแลรักษาของเราไป ในเมื่อเด็กมันเบื่อโลก เบื่อโลก มันเป็นความไร้เดียงสาไง จะเบื่อโลก จะเผชิญกับความจริง จะไม่เข้มแข็ง แต่ชีวิตมันต้องเป็นชีวิต ชีวิตมันต้องดำเนินสืบไปไง ถ้าชีวิตต้องดำเนินสืบไป เราก็ดูแล เราดูแลของเรา เราดูแลของเรา
เพราะว่าในปัจจุบันนี้มันเป็นโอกาสในการศึกษานะ เวลามันโตขึ้นไปแล้ว ถ้าขาดการศึกษาไปแล้ว เราจะดำรงชีพอย่างไร ถ้าดำรงชีพของเรา ในเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เราเป็นแม่ แต่มันก็น่าเห็นใจ แม่เลี้ยงเดี่ยว เราต้องทำงานของเรา แล้วเสร็จแล้วถ้ามันขาดความอบอุ่น เด็กมันขาดความอบอุ่น ขาดสิ่งใด เราแสดงความจริงใจต่อเขา เราแสดงความจริงใจต่อเขา ความผูกพันต่อเขา นี่ถ้ามันเป็นไปตามข้อเท็จจริงได้แค่นี้ไง ถ้าตามข้อเท็จจริงได้แค่นี้
นี่เขาว่า “เด็กเบื่อโลก” สิ่งที่เด็กมันเบื่อโลก ทีนี้เราเป็นผู้ปกครอง ในเมื่อผู้ปกครอง เราไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร เพราะคำถามนะ เพราะมีตัวคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้อง
มีตัวคนเดียว แถมเวลาสามีก็เสียไป แล้วยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคน แล้วต้องรับผิดชอบ ชีวิตเรา เราก็ทุกข์ยากอยู่แล้ว ในเมื่อเสาหลักในครอบครัวจากไป เราเองเราก็ว้าเหว่ ถ้าเราว้าเหว่อยู่แล้ว เราจะต้องทำจิตให้เราเข้มแข็งให้เป็นเสาหลักให้ได้ ให้ลูกมั่นใจในตัวเราไง ถ้าให้ลูกมั่นใจในตัวเราแล้วเราจะแก้ไขของเราไป ถ้าแก้ของเราไป
สิ่งนี้มันเป็นผลของวัฏฏะ คำว่า “มันเป็นผลของวัฏฏะ” มันเป็นเวรเป็นกรรมมา ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมมา มันไม่มีใครเหนือกรรมไง ไม่มีใครเหนือกรรมหรอก
ฉะนั้น ไม่มีใครเหนือกรรม สิ่งที่มันมีกรรมอยู่แล้ว กรรมในปัจจุบันนี้ กรรมในปัจจุบันนี้มันมาจากไหน มันมาจากอดีต จากอดีตมาเป็นปัจจุบัน แล้วถ้าปัจจุบันรักษาไม่ดีมันจะไปอนาคต ถ้าไปอนาคต ตอนนี้ที่มันเป็นปัจจุบันนี้เราจะแก้ไข เราแก้ไขที่ปัจจุบันนี้ไง
ตอนนี้ลูกสาวของเรากำลังศึกษา กำลังเตรียมตัวจะเข้าเรียนหมอไง ถ้าจะเรียนหมอของเรา เราก็ให้ความอบอุ่น ให้ความอบอุ่นจนสุดความสามารถของเราที่จะให้ได้มากน้อยแค่ไหน อย่าให้เวลาผ่านไปแล้วมาเสียใจภายหลังไงว่า ตอนนั้นเรามีโอกาส แต่เราคิดไม่ถึง เราทำไม่ได้ แล้วทบทวนแล้วจะเสียใจภายหลังไง
แต่ตอนในปัจจุบันนี้เราทุ่มเทของเราให้เต็มที่ เราทุ่มเทเพราะอะไร เพราะมันเป็นสายเลือดของเราไง ถ้ามันเป็นสายเลือดของเรา
จะบอกว่า “โอ้โฮ! ดิฉันไม่ไหวแล้วค่ะ ดิฉันตัวเองก็ทุกข์พอแรงอยู่แล้ว แล้วยังต้องไปปลดเปลื้องความทุกข์ของลูกอีก นี่มันสองชั้นสามชั้น”
นั่นเป็นความคิดของเราเหมือนกัน ความคิดของลูกก็เป็นความคิดอย่างนี้ ความคิดของลูกก็เป็นความคิดที่มันจนตรอก คำว่า “จนตรอก” นะ เด็กมันมีความคิดได้แค่นี้ไง ว่าจนตรอก แต่ความคิดของคนมันไม่จนตรอก ความจนตรอกคือสถานะทางความเป็นจริง สถานะของเด็ก เพราะเด็กมันต้องหาเลี้ยงชีพอย่างไร เด็กก็ต้องอาศัยความเป็นอยู่ดูแลของพ่อแม่
คำว่า “จนตรอก” จนตรอกคือว่า ในเมื่อมันยังเป็นเด็กอยู่ ยังไม่เติบโตจนจะเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง นี่คำว่า “จนตรอก” แต่ความคิดมันไม่จนตรอก ความคิดมันคิดได้ร้อยแปด ความคิดมันคิดทิ่มแทงตัวเองก็ได้ “ทำไมชีวิตเราเป็นแบบนี้ ทำไมพ่อต้องจากเราไป” ทั้งๆ ที่พ่อจากไปจริงๆ นั่นแหละ
“ทำไมพ่อต้องจากเราไป ทำไมแม่ไม่เอาใจเรา” นี่ความคิดมันไม่จนตรอกหรอก ความคิดมันยิ่งคิดไปมันยิ่งรุนแรงไป เห็นไหม ฉะนั้น นั่นเป็นความคิดของเด็ก
แต่ถ้าเป็นความคิดของเรา เราเองเราก็มีทุกข์ของเราเหมือนกัน ดูสิ สามีจากไปมันก็มีความทุกข์อยู่แล้ว แล้วยังทิ้งภาระความรับผิดชอบไว้ให้เรา นี่คำว่า “ทิ้งภาระ” แสดงว่าคนตายทิ้งภาระให้เราสิ
ไม่ใช่ คนตายเขาถึงเวลาแล้วเขาต้องพลัดพรากไปเป็นเรื่องธรรมดา นี่มันเป็นเรื่องธรรมดานะ การเกิดและการตายนี้เป็นเรื่องธรรมดานะ แต่มันไม่ธรรมดาเพราะมันผูกพันกับเราไง มันผูกพันกับเรา เราถึงไม่ธรรมดาไง
คนรอบข้างตายอยู่น่ะ คนทั้งประเทศตายอยู่ตลอดเวลา แต่เราเองเราก็รับรู้ได้ แต่เวลาคนรอบข้างเราตาย โอ๋ย! เราสะเทือนใจมาก
นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเสาหลักนี้มันจากไป เราก็มีความทุกข์ เราก็มีความผูกพันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ฉะนั้น เรายังต้องทำความเข้มแข็งขึ้นมาเพื่อเป็นเสาหลักให้กับลูก ให้ลูกมั่นใจในตัวเรา
เราจะบอกว่า ผลของวัฏฏะ การเกิดและการตายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราธรรมดาได้ ชีวิตที่อบอุ่น ชีวิตที่มันมีความสุขนั้นได้ผ่านไปแล้ว ในปัจจุบันนี้ชีวิตของเราต้องเผชิญกับความจริง ถ้าชีวิตนี้เผชิญกับความจริง เราจะรักษาหัวใจเราได้อย่างไร ถ้ารักษาหัวใจนะ เพราะอะไร
เพราะเขาบอกเขาทำงานอยู่คนเดียว แล้วไม่มีเวลาให้ลูก แล้วลูกก็เบื่อโลกอีกใช่ไหม เลยเป็นความทุกข์ซ้อนเข้าไปอีกไง ลูกเบื่อโลกเพราะอะไร เพราะเวลาคนมันจนตรอกแล้ว เวลาทำงานแล้ว จบแล้วก็ต้องไปแก่งแย่งแข่งขัน แล้วบอกว่าลูกจะไม่ยอมเรียนหนังสือ จะกลับมาปฏิบัติธรรม
ปฏิบัติจริงหรือเปล่า เวลาตอนนี้มันคิดได้ เพราะความคิดนี้มันจนตรอกอย่างนี้น่ะสิ อายุ ๑๖ ปี ๑๖ ปีมาอยู่วัด อยู่วัดแล้วโตขึ้นมาแล้วมันจะมาศึกษาธรรมะ แล้วพอโตขึ้นมาแล้ว บอกพอเบื่อวัดขึ้นมาก็จะออกไปสู่สังคม ออกไปสังคมคราวนี้ไม่มีความรู้ จะทำอะไรล่ะ ก็ไปทำกรรมกรก่อสร้างไง
ตอนนี้มีการศึกษา เราทำตรงนี้เราก่อน คุยกันด้วยเหตุด้วยผล ไอ้ศึกษาธรรมะ ธรรมะเราเรียนไป ถ้ามีเวลานะ เวลาถ้าเรียนหนังสือด้วย ถ้าเวลามันอ่านหนังสือไม่เข้าใจ เราก็มาหัดภาวนาของเรา มาพุทโธของเรา มาผ่อนคลายของเรา แล้วการศึกษานั้นมันก็จะสะดวกมากขึ้น ไอ้จะปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันน่ะปฏิบัติได้
แต่นี่ไม่อย่างนั้นน่ะ เราฟังมา “ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน”
ชีวิตประจำวันมันมีคุณค่าแค่ไหน ชีวิตประจำวันมันเป็นเรื่องผลของวัฏฏะ มันเป็นเรื่องความจริงอยู่แล้ว เพราะคนเกิดมาต้องมีออกซิเจน คนเกิดมาต้องมีอาหาร นี่ในชีวิตประจำวัน แต่หัวใจมันทุกข์มันยาก
ถ้าปฏิบัติธรรมต้องเหนือชีวิตประจำวันนู่นน่ะ แต่เขาอาศัยชีวิตประจำวันปฏิบัติธรรม เพราะว่าชีวิตมันต้องหายใจเข้าออก มันต้องสืบต่ออยู่แล้ว พอสืบต่ออยู่แล้ว เราก็ดูแลรักษาไป เราจะบอกว่า ธรรมะมันเหนือกว่านั้นอีก
ไม่ต้องไปห่วงว่าปฏิบัติธรรมแล้วต้องสละทุกอย่างเลย แล้วก็ต้องมาปฏิบัติธรรม
ต้องเป็นอย่างนั้นเลยหรือ ถ้าจะเป็นอย่างนั้นเลย คนที่เขามีความมุ่งมั่น คนที่เขาใฝ่ความเป็นจริงอยู่แล้ว ถ้ามุ่งมั่นใฝ่ความเป็นจริงอยู่แล้ว ถ้ามันจริงจังแล้วทิ้งเลย พอทิ้งไปแล้วมาอยู่วัด มาอยู่วัดอยู่วา บริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกา เขาจะส่งเสริมเยอะแยะไป ขอให้จริงเถอะ ถ้าที่ไหนจริงเขาส่งเสริมทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้าเขาส่งเสริมแล้ว สิ่งที่ส่งเสริมเขาหวังบุญกุศลจากเรา แล้วเราจะจริงหรือเปล่า ถ้าเราจริงหรือเปล่า มันไม่ต้องไปห่วงหน้าพะวงหลัง ถ้ามันจะเป็นความจริงถึงตอนนั้น
แต่ตอนนี้มันยังไม่จริง ตอนนี้เตรียมตัวจะศึกษา จะท่องหนังสือ จะสอบเรียนหมอ ตอนนี้จะสอบเรียนหมอก็กลับมาจริงที่นี่ ถ้าคนจริงทำอะไรมันก็จริง ถ้าทำไม่จริงนะ แต่เราอย่าไปกดดัน
เวลาเด็กๆ พ่อแม่ปรารถนาอยากให้เรียนหมอ พ่อแม่ปรารถนาอย่างนั้น ไปกดดันจนเป็นความทุกข์นะ ไปกดดันกันจนเป็นปมขึ้นมา
เราไม่ต้องไปกดดัน เรียนหมอก็ได้ จะเรียนวิชาใดก็ได้ ขออย่างเดียวขอให้ลูกเรามีความสุข ขอให้ลูกของเราไม่มีความกดดัน จะเรียนอะไรก็ได้ ถ้าสอบหมอได้ก็โอเค ถ้าสอบหมอไม่ได้ เรียนรามคำแหงก็ได้ โธ่! เรียนที่ไหนก็ได้ อย่างน้อยเรียนให้มันมีความรู้ไว้ก่อน แล้วถ้าจะปฏิบัติธรรมแล้วค่อยมาปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติธรรมนะ เอาปัจจุบันนี้ให้แจ่มแจ้ง เอาปัจจุบันให้ดีนะ ถ้าเอาปัจจุบันนี้ นี่เราพูดถึงว่าในมุมมองของเรานะ
แต่เราจะบอกว่า มันไม่มีสิ่งใดเหนือกรรมของคนหรอก ไม่มีสิ่งใดนะ อจินไตย ๔ พุทธวิสัยคือปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธวิสัย ไม่มีใครจะคาดการณ์คาดหมายได้เลยในภูมิรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สอง เรื่องโลก โลกนี้เป็นอจินไตย มันจะมีของมันอยู่อย่างนี้ไม่สิ้นสุดจะเมื่อไหร่
เรื่องของฌาน เรื่องของฌาน เรื่องของความว่าง ความว่างระดับของมันเป็นอจินไตยเลยล่ะ แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติ อริยสัจ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ความละเอียดรอบคอบมากน้อยแค่ไหน สัมมาสมาธิมากน้อยแค่ไหน นั่นน่ะมันมีระดับของมัน แต่ถ้ามันเป็นโดยทั่วไปมันเป็นอจินไตย
แล้วก็เรื่องกรรม กรรมนี้เป็นอจินไตย ซับซ้อน ซับซ้อนมาไม่รู้ขนาดไหน ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มันซับซ้อนมาขนาดนั้น แล้วเวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวรกรรมภพใดชาติใดขึ้นมามันทำให้เรามาประสบพบเห็นกัน
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบอกไว้เลย เราเป็นญาติกันโดยธรรม เราเป็นญาติกันโดยธรรมเพราะเราเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราต้องการอากาศหายใจเหมือนกัน เราต้องการอาหารเหมือนกัน นี่เราเป็นญาติกันโดยธรรม มีปากมีท้องเหมือนกัน เราเป็นญาติกันโดยธรรม คนที่เกิดมาพบกันมันต้องมีเวรมีกรรมต่อกันไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ได้มาสัมผัสกัน
ฉะนั้น เวลาสิ่งที่เกิดขึ้นมา สิ่งที่ว่าบอกว่ามันจะไม่เหนือกรรมไง คำว่า “ไม่เหนือกรรม” กรรมดี กรรมชั่ว ถ้ากรรมดี กรรมชั่ว สิ่งที่เราจะดูแลรักษา เราจะปลอบประโลม เราจะรักษาเขา เรารักษาอย่างนี้ ถ้ารักษาอย่างนี้นะ
ถ้าทำได้จริง ทำได้จริงมันก็เป็นกรรมดี กรรมดีขึ้นมา ทุกอย่างก็เข้าร่องเข้ารอยไง เข้าร่องเข้ารอย เข้าสู่ความสมหวัง ถ้าเข้าสู่ความสมหวัง นั่นคือกรรมดี เห็นไหม เราไม่เหนือกรรม แต่การกระทำของเราในปัจจุบันนี้เราสร้างกรรมดี ทำคุณงามความดี
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”
ไม่ต้องไปจองเวรจองกรรมใครทั้งสิ้น ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นก็หมดเวรหมดกรรมของเขา แต่เขา จิตใจนี้มันยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เขาต้องไปเกิดต่อไป
ไอ้ของเรามีหน้าที่รับผิดชอบอยู่ในปัจจุบันนี้ ในเมื่อลูกสาวอยู่ในการคุ้มครองดูแลของเรา เลือดเนื้อเชื้อไขของเรา เราก็ดูแลเขา เราดูแลเขาไป
แต่ถ้ามันเป็นปัญหา ปัญหาที่ว่าเขาเบื่อใช่ไหม เขาจะไม่ยอมศึกษา เขาจะไม่ยอมเรียน เราก็ค่อยๆ คุยกัน ค่อยๆ บอกด้วยเหตุด้วยผล ถ้าด้วยเหตุด้วยผล ถ้าเป็นกรรมดี กรรมดี ผลของกรรม ทำดีต้องได้ดี ถ้ามันมีคุณงามความดี มันก็จะสมความปรารถนา สมประโยชน์ทุกๆ ฝ่าย
แต่ถ้ามันมีสิ่งใดที่ไม่สมความปรารถนา มีสิ่งใดที่มันขัดแย้ง นี่เราจะบอกว่าเป็นผลของกรรม มันเป็นมุมมอง เป็นทัศนคติไง พันธุกรรมของจิตๆ ไง จริตนิสัยมันเป็นอย่างนั้นไง ถ้าจริตนิสัยอย่างนั้นน่ะ เราพยายามดัดแปลงแก้ไขแล้วไง ถ้าดัดแปลงแก้ไขแล้ว
ถ้าเราดัดแปลงแก้ไขแล้วถ้ามันไม่สมความปรารถนา ไม่สมดังเจตนาของเราก็สาธุ เราได้ทำแล้ว พอได้ทำแล้วมันก็คิดว่าเราไม่ได้ทอดธุระไง แต่ถ้าวันไหนถ้าเราไม่ได้ทำสิ่งใด หรือเราทอดธุระ หรือเราทำไม่รอบคอบ เวลาผ่านไปแล้วเราก็มานั่งเสียใจทีหลังไง ถ้าเสียใจทีหลัง อันนั้นมันเป็นสองชั้นน่ะ
๑. เราไม่ได้ทำ
๒. ยังเสียใจโอกาสที่มันผ่านไป
แต่ถ้าเราทำแล้ว ถ้ามันสมความปรารถนา มันก็เป็นกรรมของสัตว์ สัตว์ทำคุณงามความดีมันก็ดีของมัน ถ้าสัตว์ที่มันขาดตกบกพร่อง มันก็เป็นเรื่องกรรมของสัตว์ ทีนี้กรรมของสัตว์ใช่ไหม มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล มันเป็นจริตนิสัย มันเป็นเฉพาะตัวบุคคล แต่เวลามาเกิดนี่ไง
เวลามาเกิด ผลของวัฏฏะเรามาเกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน โดยเวรโดยกรรมในหัวใจของเขาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เวลามาเกิดความผูกพันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหม ความผูกพันระหว่างครอบครัวนี่เป็นเรื่องหนึ่ง นี่ความผูกพันครอบครัว แต่เรื่องเวรเรื่องกรรมในใจเป็นเรื่องหนึ่ง แล้วถ้ามันมีบุญกุศลของมันสามารถน้อมนำ สามารถคอนโทรลให้มันเข้าใจกันได้ สุดยอด แต่ถ้ามันเข้าใจกันไม่ได้มันก็กรรมของสัตว์
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นไปได้นะ เราจะบอกว่า เขาบอกว่าให้หลวงพ่อช่วยไง ช่วยว่า น้อมนำให้ลูกหมั่นเพียร ให้มีการศึกษา เพราะเขาเชื่อ เขาเชื่อไง
เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าคนไหนเหมือนกัน แต่ในเมื่อมันเป็นสัตว์โลกด้วยกัน สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ก็มีความปรารถนาให้ทุกๆ สัตว์โลกให้มีความสุขความสมความปรารถนาทั้งนั้นแหละ
ฉะนั้น เวลาที่มันมีปัญหาในครอบครัว ปัญหาของเขา เขาเขียนมาถามปัญหาไง แล้วให้ช่วยแนะนำ
ถ้าช่วยแนะนำ เราจะบอกว่า แนะนำให้เขาทำตัวเขาก่อน คือเราต้องรักษาใจเราก่อน หนึ่ง คืออย่าให้จิตใจเรามันทุกข์ร้อน มันฟุ้งซ่าน เพราะจิตใจเรามันทุกข์ร้อน อันนี้มันจะไปแสดงออกกับลูก
ถ้าเราพยายามทำของเรา เราทำของเรา รักษาหัวใจของเรา เราก็ทำดีที่สุดอยู่แล้ว แล้วพยายามตั้งสติไว้ อย่าใช้อารมณ์ อย่าใช้อารมณ์ อย่าใช้ความรุนแรงให้มันกระทบกระเทือนเขา คุยกันเจรจากันด้วยสิ่งดี
แล้วเขาบอกว่าให้หลวงพ่อช่วยแนะนำ
หลวงพ่อช่วยแนะนำ ก็หลวงพ่อแนะนำนี่ไง ถ้าแนะนำไปแล้ว ภาษาเรา เรื่องของครอบครัว เรื่องของสังคมนี่นะ ถ้าเป็นความทุกข์ความยาก พระช่วยเหลือเจือจานได้ แต่ถ้าเรื่องบางอย่าง พระมีขอบเขตเหมือนกัน ทำไม่ได้อย่างนั้นทั้งหมด
ฉะนั้น เวลาเป็นพระ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดถึงว่า สังคมไหนก็แล้วแต่สร้างบ้านสร้างเรือนขึ้นมาเขาจะมีวัดมีวาของเขา มีวัดมีวาเพื่อเป็นที่ทำบุญกุศลของเขา เพื่อเป็นที่ทำกิจกรรมของเขา นี่เพื่อประโยชน์กับสังคมนั้น
นี่ก็เหมือนกัน เราจะบอกว่า ไม่ใช่ปฏิเสธว่าพระจะทำอะไรไม่ได้ พระนี่ช่วยได้ แต่เวลาพระ พระมันต้องมีวุฒิภาวะไง แล้วช่วยเรื่องอะไร เรื่องนั้นเป็นเรื่องของรัฐบาล เรื่องนั้นเป็นเรื่องของโลก แต่ถ้าเป็นเรื่องพระที่เขาจะสร้างสมบารมีของเขา เขาทำอย่างนั้น
แต่ถ้าพูดถึงครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพยายามของท่านไง ต้องพระเอาตัวรอดให้ได้ก่อน
ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูด พระต้องเป็นผู้ทรงศีลทรงธรรม ถ้าพระทรงธรรมไม่ได้ ธรรมในหัวใจไง ถ้าธรรมในหัวใจ เข้าใจธรรมในหัวใจแล้ว มันก็จะเข้าใจความคิดของเราไง
ความคิดของเรา สิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเกิดดับๆ ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา แล้วโยมก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นน่ะ ทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจมีความทุกข์ทั้งนั้น ไม่มีดวงใจดวงไหนเลยที่ไม่มีความทุกข์ฝังอยู่ในหัวใจ มีทั้งนั้น
ถ้าเวลามีทั้งนั้นขึ้นมา ในเมื่อมันเกิดในใจของเรา เราฝึกหัด เราประพฤติปฏิบัติให้เห็นในใจของเรา นี่ไง ถ้ามันเป็นศาสนทายาทเป็นธรรมตามความเป็นจริง มันต้องเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ เขาจะหลีกเร้น เขาพยายามจะประพฤติปฏิบัติ เขาพยายามจะปฏิบัติให้มันเกิดในหัวใจไง ฉะนั้น ถ้ามันเป็นในหัวใจ สิ่งนี้มันก็เป็นวิหารธรรม ถ้าเป็นวิหารธรรมแล้วมันก็จะเป็นประโยชน์แล้ว ถ้าเป็นประโยชน์ มันก็ประโยชน์กลับมาที่นี่ไง
นี่พูดถึงว่า มันไม่เหนือกรรมไง จะบอกว่า ถ้าทำคุณงามความดี มันก็เป็นความดีทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้ามันเป็นความดีแล้ว ทำดีทำไมมันเป็นอย่างนี้ล่ะ เราก็ทำความดีมาหมด ทำไมลูกเรามันมี
นั่นมีส่วนหนึ่ง มันเป็นจริตนิสัยของเขาส่วนหนึ่ง แต่ด้วยเหตุด้วยผลนะ ถ้ามันส่วนหนึ่ง ถ้าเราน้อมนำได้มันก็เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ หมายความว่า ชักนำให้เขาไปในทางที่ถูกต้อง
แล้วธรรมดาพ่อแม่ สิ่งที่พอใจที่สุดคือลูกของเรามีความรู้ ลูกของเรามีที่ยืนในสังคม แค่นี้พ่อแม่พอใจแล้ว พ่อแม่พอใจคือว่าให้ลูกอยู่ได้ด้วยความเป็นสุขพอ
ฉะนั้น ถ้าลูกเราอยู่ได้แล้ว ถ้าเขาทำอะไรประสบความสำเร็จ นั่นคือความสามารถส่วนตัวของเขา ถ้าความสามารถส่วนตัวของเขา เขาทำอย่างนั้นได้ เรายิ่งภูมิใจใหญ่ นี่พูดถึงพ่อแม่นะ
แต่เด็ก เด็กไม่เข้าใจหรอก เพราะเขาบอกว่าลูกสาวอายุ ๑๖
อายุ ๑๖ นี่กำลังรุนแรงเลยล่ะ กำลังของความคิด ฉะนั้น ถ้ามันดูแลได้ ดูแลได้ก็ดูแลได้
ทีนี้ทำไมพระไปยุ่งเรื่องของโลก
เพราะเขาเขียนว่าเขาไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปปรึกษาใคร เพราะมีอยู่คนเดียว ญาติพี่น้องไม่มี เขามีอยู่คนเดียว เขาบอกเขาอยู่คนเดียว ไม่มีญาติพี่น้อง อยู่กับลูก
ฉะนั้น เวลาคน เวลาเราจนตรอก เวลาบอกว่าพระเป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นที่พึ่งที่อาศัยได้ ถ้าเขามาแล้ว ภาษาเรานะ เขาต้องการความช่วยเหลือ
ถ้าพูดตามความเป็นจริง แต่ส่วนใหญ่แล้วสังคมเราถ้ามันมีปัญหากันเพราะเขาไม่ได้พูดตามความเป็นจริง หรือว่าเวลาเขาพูดแล้วเขาไม่พูดด้วยความเป็นจริง เขาจะหาผลประโยชน์ เลยไม่มีความไว้วางใจต่อกันไง ถ้าไม่มีความไว้วางใจต่อกัน
มันบอกถึงต้องมีศีล ศีล ไม่พูดโกหกมดเท็จ ไม่พูดจาส่อเสียด ไม่พูดต่างๆ กรณีนี้ถ้ามันเป็นได้มันก็เป็นที่ไว้วางใจ ถ้าไม่เป็นที่ไว้วางใจ ใครจะไปปรึกษา มันไม่มีใครไปปรึกษาหรอก เพราะไปปรึกษา เราทุกข์อยู่แล้ว ไปซ้ำเติมอีกต่างหาก
แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาได้ เป็นจริงอย่างนี้ นี่พูดถึงเราจะบอกไว้สองประเด็น ประเด็นหนึ่ง ถ้าไม่มีใครเหนือกรรม ถ้าไม่มีใครเหนือกรรม แสดงว่า ถ้ากรรมในหัวใจของคน สัตว์โลกมันฝังมาอย่างนั้น มันแสดงออกอย่างนั้น แต่มันเป็นกรรมเก่า ถ้ากรรมเก่า แล้วกรรมใหม่ล่ะ
กรรมเก่า เวลาแก้กรรมๆ ไปแก้กรรม ไปแก้กรรมที่ไหน พระพุทธศาสนาสอนให้มีการแก้กรรมอย่างไร ถ้าการแก้กรรมในพระพุทธศาสนา มันก็กรรมฐานนี่ไง เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
เพราะความเห็นของเขา เวลาเด็กเขาบอกเลย เขาไม่อยากจะศึกษา อยากจะไปเรียนธรรมะ
ถ้าเรียนเป็นธรรมะ เราจะบอกว่า เรียนธรรมะมันเป็นข้ออ้าง จะไปเรียนธรรมะ เรียนธรรมะกับท่องหนังสือเรียนหมอมันก็เหมือนกันนั่นน่ะ เรียนธรรมะมันก็ต้องไปเรียนหนังสือ ไปท่องหนังสือ
ถ้าจะไปปฏิบัติ ไปเรียนธรรมะ ไปนั่งภาวนาใช่ไหม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม คิดว่าไปเรียนธรรมะแล้วจะสะดวกสบายใช่ไหม ไม่ต้องมาจนตรอกกับการท่องหนังสือใช่ไหม
เวลาไปเรียนธรรมะ เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาถ้าปฏิบัติมันไม่ได้ล่ะ มันยิ่งทุกข์ยากกว่านั้นอีก บอกว่าไปเรียนธรรมะ คงคิดว่าไปเรียนธรรมะแล้วมันจะสะดวกสบายไง
เรามีเหตุมีผลของเขา แล้วเราดูแลรักษาของเรา ดูแลรักษาของเรา คุยกันให้มีความเข้าใจ แล้วให้เขาบอกว่า จะไปเรียนธรรมะก็ได้ แต่ให้เรียนให้จบก่อน ถ้าเรียนจบแล้วเราก็ส่งเสียดูแลเขา นี่พูดถึงของเรานะ
ฉะนั้นบอกว่า ลูกต้องทำตามนี้ ไม่มีเวลา กราบให้หลวงพ่อช่วยบอกลูกสาวด้วย
ถ้าบอกลูกสาวด้วย บอกว่าให้เขาตั้งใจก่อน คนเกิดมาแล้วมันมีโอกาสทั้งนั้นน่ะ ถ้าเรามีโอกาสของเขาแล้ว คนที่เขาไม่มีโอกาสเขายังไขว่คว้า แต่เรามีโอกาส เพียงแต่บอกว่า ท่องหนังสือไม่ทัน เวลามันน้อย
ก็ตั้งใจสิ ก็ตั้งใจทำให้สมความปรารถนา ดูสิ เวลาพ่อเสียไปแล้ว สนิทอยู่กับพ่อใช่ไหม พ่อเขาก็หวังไง หวังว่าให้เรามีการศึกษา ให้มีการศึกษามา มีการศึกษา มีหน้าที่การงาน เวลาต่อไปอนาคตแม่ชราภาพขึ้นมา เราจะได้มีอาชีพ มีหน้าที่การงานไว้ทำงานเพื่อดูแลแม่ของเรา แม่ของเราตอนนี้เขาทำหน้าที่การงานส่งเราให้มีการศึกษา ส่งเราให้เรียนหนังสือ ให้มีหน้าที่การงาน เวลาเราโตขึ้นมา เราก็เป็นผู้ตอบแทนบุญคุณ มาดูแม่ของเรา
นี่เราอยู่กันสองคนไง ถ้าเราอยู่กันสองคน เรานึกถึงตอนนี้เป็นเวลาของที่แม่ทำงานส่งให้เราเรียน เราเรียนจบแล้ว เรามีหน้าที่การงานแล้ว เราทำหน้าที่การงานแล้ว เราก็อย่าลืมแม่แล้วกันน่ะ อย่าลืมแม่ ต้องดูแลแม่ของเรา
อยู่กันสองคนน่ะ แล้วถ้าอนาคตมันครอบครัวขยายไป นั่นเป็นเรื่องของอนาคต แต่ในปัจจุบันนี้ ถ้าคิดดีๆ อย่างนี้ คิดดีๆ ต่อกัน มันก็เข้าใจกันได้ไง ถ้ามันคิดไม่ดีต่อกัน ถ้าคิดไม่ดีต่อกัน เราถึงบอกว่า มันมีสิ่งใดที่เรารู้ไม่ได้ สิ่งใดที่รู้ไม่ได้ แต่มันฝังอยู่ในสันดานของมนุษย์ทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่เรารู้ไม่ได้ไง สิ่งที่รู้ไม่ได้ ยกไว้ เราเอาสิ่งที่รู้ได้ สิ่งที่ทำได้
ฉะนั้น ถ้าเด็กมันเบื่อโลก เด็กมันเบื่อโลกนะ มันมีไปทั้งนั้นน่ะ เพราะในรัฐบาล ในกระทรวงสาธารณสุข ในการดูแลประชากร มันมีไปร้อยแปด มันมีร้อยแปดทั้งนั้นน่ะ
แต่ธรรมโอสถ เราไปวัดไปวาขึ้นมาเพื่อผ่อนคลายของเรา ให้หัวใจที่มันอัดอั้นตันใจให้มันเปิด ให้มันระบายออก แล้วเอาธรรมโอสถเข้ามาชำระมารักษาหัวใจของเรา
ถ้าธรรมะรักษาหัวใจของเรา ระดับของทาน ทานก็เราไปวัดไปวาทำบุญกุศลเพื่อเปิดให้มีการหมุนเวียน ถ้าเรามีศีล ศีลคือความปกติของใจ ถ้ามันคิดไม่ดีสิ่งใด คิดสิ่งใดขึ้นมา เราเท่าทันมัน เวลาจะภาวนา ภาวนาเพื่อให้จิตมันสงบระงับเข้ามา ถ้าจิตสงบระงับเข้ามา เราจะมีจุดยืนแล้ว ถ้าเรามีจุดยืนขึ้นมา ชีวิตจะมีค่าทันทีเลย
เวลาครูบาอาจารย์ของเราหรือพวกที่นักปฏิบัตินะ เขาไม่อยากตาย ดูสิ เวลาหลวงตา หลวงตาท่านอยู่ที่บ้านผือ เวลาเป็นโรคเสียดอกๆ นั่นน่ะ ตายทีวันหนึ่ง ๗ คน ๘ คน แล้วศพต่อไปก็จะเป็นเราไง
นี่ธรรมดา ถ้าธรรมดาท่านก็ปล่อยวางไง แต่นี่มันบอกไม่อยากตายๆ ไม่อยากตายเพราะอะไร ไม่อยากตายเพราะรู้ว่าถ้าตายแล้วไปเกิดอีกบนพรหม นี่พระอนาคามีนะ เขาไม่อยากตาย ไม่อยากตายเพราะอยากจะประพฤติปฏิบัติไง เขาไม่อยากตายเพราะมันมีเวลาที่เข้าด้ายเข้าเข็มไง เพื่อจะให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ก่อน พอเวลาถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วจะตายเมื่อไหร่ก็ได้
นี่ไง สิ่งที่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเขาต้องการเวลา เขายังต้องการเวลาในการประพฤติปฏิบัติ เวลาถ้าจิตมันสงบขึ้นมาแล้ว มันกลับดูแลรักษาขึ้นมาเพื่อขวนขวาย
เหมือนพระเลย บิณฑบาตเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพไว้ทำไม ก็เลี้ยงชีพไว้ขวนขวายไว้เพื่อการประพฤติปฏิบัติ นี่ไง เวลาเลี้ยงชีพ เหมือนกับหยอดน้ำมันล้อเกวียนรถไม่ให้มันเสียดสีกันรุนแรงเท่านั้นน่ะ เวลาฉันอาหารก็เพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้เท่านั้นน่ะ ดำรงอยู่ทำไม ดำรงอยู่ไว้เพื่อค้นคว้าเพื่อขวนขวายของเรานี่ไง ถ้าขวนขวายจบแล้วนะ อ้าว! ได้แล้ว เมื่อไหร่ก็ได้
แต่ถ้ามันยังไม่จบนะ ไม่ได้ ไม่ควร เพราะมันอันตราย ตายปั๊บ จิตนี้ไปตามเวรตามกรรม กรรมดีกรรมชั่วไปแล้ว แล้วไปแล้วมันไปอยู่ที่ไหน ไปอยู่อย่างไร เพราะพอไปแล้วนะ มันไม่ได้คิด
อย่างเราคิดแล้วแหละ เพราะอะไร เพราะสภาวะแวดล้อมได้ชีวิตใหม่ ได้ชีวิตใหม่ ได้สภาวะแวดล้อมใหม่ ได้สังคมใหม่ มันคิดอย่างไร จะเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม สัตว์นรกอเวจี หรือจะเป็นมนุษย์ก็แล้วแต่ นี่เวลาจิตมันตายนะ ไม่มีเวลาเลยล่ะ ปั๊บๆๆ เลย นี่ไง จิตที่ไม่เคยตาย จิตที่ไม่เคยตายไง
แต่เขาบอกว่า มันจะเป็นจริงหรือ อย่าเขียนเสือให้วัวกลัว
จะเชื่อไม่เชื่อนั่นเรื่องหนึ่งนะ แต่เราลบล้างความคิดเราไม่ได้ ความคิดที่ฝังใจเราลบล้างไม่ได้หรอก เราลบล้างความรู้สึกของเราไม่ได้
ความรู้สึก บอก “ไม่มีๆ ว่างๆ”
ว่างๆ นั่นก็อารมณ์ว่างๆ สิ่งที่ความรู้สึกอันนั้นน่ะ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้ จิตไม่เคยตาย จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะน่ะ แต่มันเกิดเป็นอะไรเท่านั้นเอง
ฉะนั้น ถ้าพูดถึง ถ้ามีสติปัญญา แล้วเราขวนขวายของเรา ทำของเราขึ้นมา มันจะเห็นคุณค่ากับสิ่งนี้เลยล่ะ สิ่งที่คำว่า “ชีวิต” ชีวิตนี้มีค่ามาก ถ้าชีวิตนี้มีค่ามาก มันก็เป็นทัศนคติแล้วล่ะ มันเป็นเรื่องจริตนิสัย
ฉะนั้น จริตนิสัยมันเป็นเรื่องกรรมเก่า เห็นไหม กรรมเก่า กรรมใหม่ มันเป็นพันธุกรรมของมัน แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน เวลาปฏิบัติท่านจะมองตรงนี้ ให้มันตรงกับจริต ถ้าตรงกับจริตปั๊บ มันจะเข้าเลย
เหมือนกับอาหารที่มันคุ้นชินกับลิ้นเรา เราชอบ อาหารใดที่ไม่เคยคุ้นชินกับลิ้นเรานะ เรากินก็ได้ กินกันตาย กินได้ทั้งนั้นน่ะ แต่กินแล้วมันไม่สะใจหรอก แต่ถ้าอาหารอันไหนที่มันคุ้นลิ้นเรา กินแล้ว แหม! มันถูกใจๆ
นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติขึ้นไป ถ้ามันตรงจริตตรงนิสัย คำว่า “มันจะไปแก้กิเลส” นี่มันจะแก้กิเลสของมัน แล้วทำอย่างไรล่ะ อยากให้ดีอย่างนี้ อยากให้มันได้ที่ตรงๆ นี่
ตรงๆ คือว่า ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าตรงๆ นะ มันโล่ง ถ้าเวลาภาวนาแล้วอึดอัดขัดข้องน่ะ แหม! ไม่พอใจเลย แต่ถ้าภาวนาแล้วมันโล่ง นั่นแหละตรง มันโล่ง มันปลอดโปร่งไง มันตรงกับความชอบไง
แล้วความชอบ ความชอบที่เราไม่เคย ความชอบก็อยากได้แก้วแหวนเงินทองไง แต่ความชอบของเราคือภูมิวุฒิภาวะไง คือภูมิของใจ คือใจที่มันรู้ ใจที่มันรู้ ใจที่มันเป็นตัวตน มันรู้นี่ นี่สิ่งนี้เป็นคุณธรรม สิ่งนี้ที่หัวใจที่มีคุณค่า มีคุณค่าอย่างนี้
แล้วถ้ามันโล่งมันมาจากไหนล่ะ
มันมาจากสติ มันมาจากคำบริกรรม มันมาจากปัญญาอบรมสมาธิ เราก็ฝึกหัดของเรา ทำของเราให้ชำนาญขึ้นๆ มันอยู่ที่ความชำนาญ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ทำครั้งหนึ่งได้สมาธิครั้งหนึ่ง ทำครั้งต่อไปนะ ต้องทำให้นานขึ้น ทำให้มากขึ้น เพราะว่ากิเลสมันพยายามดีดดิ้นของมัน มันมีการต่อต้าน
แรงต่อต้านคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจเราเท่านั้น แรงต่อต้านน่ะ ไม่มีใครหรอก แล้วแรงต่อต้านมันไปเก็บมาไง ไอ้นู่นเขาว่าอย่างนั้น ไอ้นี่เขาว่าอย่างนี้ มันเป็นแรงต่อต้านอยู่แล้ว แล้วก็ต้องไปเก็บมา เก็บมาเป็นแรงยุแหย่ไง ยุแหย่ไอ้แรงต่อต้านนี่ ไอ้แรงต่อต้าน เขาว่าอย่างนั้น เขาว่าอย่างนี้ มันไปเก็บมา เก็บมาเป็นเชื้อเพลิงแล้วมันก็เผาใจเราไง
แต่ถ้าเวลาเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันวางหมด มันวางหมด เห็นไหม เวลามันภาวนาแล้วมันจะเป็นแบบนี้ ถ้ามันเป็นสมาธิมันได้อย่างนี้
นี่พูดถึงว่าเขาจะไปปฏิบัติธรรม
ถ้าปฏิบัติธรรมนะ ภาษาเรา มันจะต้องใช้ความวิริยอุตสาหะมากกว่าการเรียนหมอหลายเท่า การเรียนหมอนี่นะ เราต้องศึกษาอย่างนี้ มันมีครูมีอาจารย์นะ มันมีตำรับตำราให้ค้นคว้าให้ศึกษาจนเรียนจบนะ
แต่ถ้าปฏิบัติธรรม เราจะค้นคว้าในใจของเราเองต่างหาก แล้วมีครูบาอาจารย์รู้จริงหรือเปล่าที่คอยชี้นำ แล้วเราคิดปรารถนาว่าเราจะไปปฏิบัติธรรมๆ อย่างน้อยมันต้องมีอาชีพที่เป็นหลักของเราก่อน แล้วตอนนี้มีกันอยู่สองคนแม่กับลูก ไอ้แม่ก็รักลูกมาก อยากให้ลูกเป็นหลัก เป็นเสาหลัก ไอ้ลูกก็รักแม่ แต่ลูกยังเป็นเด็กอยู่ ลูกก็บอกไม่อยากได้ เพราะโลกนี้มันมีการแก่งแย่ง
แหม! ไม่ต้องมีคุณธรรมขนาดนั้นหรอก มีการแก่งแย่ง เขาก็แก่งแย่งกันอยู่แล้ว แต่เราก็มีอาชีพของเรามีความจำเป็น เราไม่ไปแก่งแย่งกับเขา แต่เราก็ทำหน้าที่การงานของเราด้วยสัมมาทิฏฐิความถูกต้องดีงามของเรา ทำไว้เพื่อมีอาชีพไว้ดูแลแม่เราในอนาคต ในเมื่อโอกาสมันมีอยู่ก็ควรทำอย่างนี้ ควรมีการปรึกษากันให้มันเข้าใจกัน อย่าให้มีสิ่งใดขัดแย้งกันไง
มีกันอยู่สองคนแม่กับลูก นี่เขาบอกเขาไม่มีญาติ คนอื่นเขาเป็นเรื่องภายนอก เขาส่งเสริมอย่างไร เขาก็แล้วแต่น้ำใจของเขา แต่มีกันอยู่สองคนแม่กับลูก ฉะนั้น ลูกต้องเห็นน้ำใจแม่เป็นสำคัญ แม่ก็ควรดูแลลูกด้วยความเป็นผู้ใหญ่ ทำอย่างนี้แล้วมันก็จะไม่มีความขัดแย้งไง
จากเด็กเบื่อโลก ถ้าเด็กมันเบื่อโลกนะ ถ้าในทางสังคมเขาบอกว่าเป็นความบกพร่องของแม่ พ่อแม่อบรมไม่ดีมันถึงเป็นแบบนี้ แต่นี่แม่เขาบอกว่า อ้าว! ก็หนูอบรมแล้ว เขาไม่เชื่อหนูเอง
มันก็มีกันอยู่สองคนไง เราถึงบอกว่า มันไม่เหนือกรรมหรอก มันเป็นเวรเป็นกรรมของคน ถ้าเวรกรรมของคน ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราก็ปรึกษาหารือกัน เราพยายามช่วยเหลือเจือจานกันให้สุดความสามารถของเรา แล้วพ้นจากนั้นให้เป็นเรื่องผลของกรรม เอวัง